รีวิว แม่ร้าย

รีวิว Midsommar

รีวิว Midsommar

Midsommar เทศกาลสยอง (2019) ภาพยนตร์สยองขวัญไอเดียแหวกจากผู้กำกับชาวอเมริกัน Ari Aster เจ้าของผลงานสุดเฮี้ยนอย่าง Hereditary (2018) โดยค่าย A24 โคจรกลับมาให้คอภาพยนตร์สยองขวัญได้สัมผัสประสบการณ์หลอน ณ หมู่บ้านอันห่างไกลในประเทศสวีเดนกันอีกครั้งทาง Netflix

 

 

 

เรื่องราวที่ส่งให้ Midsommar กลายเป็นที่พูดถึงไปอย่างกว้างขวางคือ การนำเอาความเชื่อแบบคติชนวิทยา (Folklore) ในแถบสแกนดิเนเวีย ที่มีรากฐานความเชื่อจากศาสนาท้องถิ่นก่อนการเข้ามาของศาสนาศริสต์ มาสร้างสรรค์ในแง่มุมอันสยดสยองที่ฉาบหน้าด้วยความสวยงามและอ่อนหวาน ผ่านเรื่องราวของลัทธินอกรีต ดูหนัง,ดูหนังออนไลน์

 

 

(Scandinavian Pagan Cult) มีความเชื่อแบบสุดโต่งที่ดำเนินมาหลายร้อยปีและยังคงความเข้มข้นอยู่ในหมู่บ้าน Hårga โดยหากดูจากในภาพยนตร์เราจะเห็นพิธีกรรมที่แปลกตามากมาย เช่น การสังเวยชีวิตของคนในหมู่บ้าน ประเพณีการกระโดดลงจากหน้าผาของคนเฒ่าคนแก่ และการคัดเลือกราชินีแห่งเดือนพฤษภาคม (Queen of May)

 

 

 

ความเชื่อที่ถูกเล่าใน Midsommar นั้นเกิดขึ้นที่ไหน และมีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด THE STANDARD POP จะมาเล่าให้ฟังกัน รีวิวหนังใหม่

 

ความเชื่อชาวนอร์สและเทศกาลฤดูร้อน

 

 

ชาวนอร์ส หรือชื่อที่เราคุ้นเคยจากสื่อต่างๆ ว่าชาวไวกิ้ง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของประเทศในยุโรปเหนือ โดยศาสนาดั้งเดิมที่เป็นรากฐานของประเพณี-พิธีกรรมต่างๆ ของผู้คนในแถบนี้มีรากฐานมาจากปกรณัมนอร์ส (Norse Mythology) มีลักษณะแบบพหุเทวนิยม หรือการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ โดยมี โอดิน (Odin) เป็นเทพสูงสุด ซึ่งศาสนาดั้งเดิมและความเชื่อท้องถิ่นเหล่านี้ทรงอิทธิพลและเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนก่อนการเข้ามาของศาสนาคริสต์ รีวิวหนังใหม่netflix

รีวิว Midsommar

รีวิว Midsommar พล็อตเรื่อง

และด้วยฤดูร้อนที่มีระยะเวลาสั้นมากในประเทศแถบสแกดิเนเวีย ทำให้ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีจะมีการจัดเทศกาลฤดูร้อน หรือ Midsummer Festival ซึ่งเป็นเทศกาลที่เริ่มต้นมาจากศาสนาดั้งเดิม ก่อนจะกลายเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ โดยรูปแบบเทศกาลที่มีการใช้เสาเมย์โพล (Maypole) เป็นศูนย์กลางของงาน ถูกริเริ่มที่ประเทศเยอรมนีในยุคปลายศตวรรษที่ 17 หรือปลายศตวรรษที่ 18 โดยชาวสวีดิชรวมถึงประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรปก็ยังคงมีการจัดเทศกาลฤดูร้อนตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

 

หมู่บ้าน Hårga และตำนานปีศาจพื้นบ้าน

 

 

ถึงแม้ว่าชื่อหมู่บ้าน Hårga จะมีอยู่จริงในตอนกลางของสวีเดน แต่หมู่บ้านที่ปรากฏในภาพยนตร์นั้นไม่ได้อ้างอิงมาจากเรื่องจริงเชิงประวัติศาสตร์แต่อย่างใด โดยคำว่า Hårga ที่ถูกใช้เป็นชื่อหมู่บ้านที่สามารถสืบค้นกลับไปถึงบทเพลงสำหรับเด็กที่เป็นตำนานพื้นบ้านของสวีดิชในชื่อ The Song of Hårga หรือ Hårgalåten ที่เล่าเกี่ยวกับปีศาจที่จำแลงกายมาเป็นนักไวโอลิน และบังคับให้ชาวบ้านเต้นจนกว่าจะตาย

 

 

 

ตำนานพื้นบ้าน, บทเพลง Hårga, การแข่งขันเต้นคัดเลือก (Hälsingehambon) และเมย์โพล (Maypole) นั้นมีปรากฏมาตั้งแต่อดีต และยังคงสืบทอดเป็นประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตำนานดังกล่าวถูกเล่าในภาพยนตร์ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันคัดเลือกราชินีแห่งเดือนพฤษภาคม

 

Ättestupa การกระโดดผาอันศักดิ์สิทธิ์

 

 

พิธีกรรมการกระโดดหน้าผาอันเป็นฉากที่สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ชม เป็นพิธีกรรมที่ถูกกล่าวถึงในมหากาพย์โบราณของชาวสวีเดนที่ชื่อว่า ‘Gautreks Sagas’ ซึ่งคำว่า Ättestupa เป็นทั้งคำที่ใช้เรียกหน้าผาที่มีอยู่มากมายในลักษณะภูมิประเทศของสวีเดนและไอซ์แลนด์ และยังหมายถึงพิธีกรรมกระโดดหน้าผาเพื่อจบชีวิตของตัวเอง

 

 

 

มหากาพย์ดังกล่าวได้อธิบายถึงการฆ่าตัวตายนี้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อคนเฒ่าคนแก่ไม่สามารถดูแลตัวเอง ไม่มีความสามารถในการเป็นที่ปรึกษาของคนในชุมชนได้อีกต่อไป พวกเขาต้องกลายเป็นภาระให้ลูกหลานต้องเลี้ยงดู แทนที่จะทนมีชีวิตอยู่กับความทรมาน พวกเขาเลือกจะขึ้นไปที่หน้าผาในละแวกหมู่บ้านเพื่อจบชีวิตของตัวเองจากโลกใบนี้ แล้วมีชีวิตใหม่กับมหาเทพโอดิน

รีวิว Midsommar

ซึ่งมีความแตกต่างไปจากในภาพยนตร์เรื่อง Midsommar ที่นำเสนอว่าพิธีกรรมนี้จะเกิดเมื่อคนมีอายุ 72 ปี และเมื่อประกอบพิธีกรรมแล้ว ชื่อของพวกเขาจะถูกสืบทอดต่อในเด็กทารก เพื่อเป็นสัญญะของการเกิดใหม่และวัฏจักรของชีวิตที่หมุนวนไปในชุมชน

 

พิธี Ättestupa นั้นถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมของชาวนอร์สในยุคก่อนศาสนาคริสต์ที่มีการกล่าวถึงในมหากาพย์ Gautreks และมุขปาฐะเรื่องเล่าที่ไหลเวียนในชุมชน แต่ไม่มีหลักฐานบันทึกถึงการสืบทอดและการปฏิบัติของพิธีกรรมดังกล่าวอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่ามีกลุ่มคนที่สืบทอดพิธีกรรมนี้อยู่จริงหรือไม่ ทำให้พิธีกรรมนี้มีสถานะเป็นตำนานและเรื่องเล่ามากกว่าเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์

 

 

 

แต่ในขณะเดียวกัน นักมานุษยวิทยาและนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือตำนานคำบอกเล่าในชุมชน ก็ถือเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของความเชื่อและหลักปฏิบัตินี้เช่นกัน โดยการปรากฏของพิธี Ättestupa ในโลกยุคปัจจุบันถูกกล่าวถึงในสื่อ ได้แก่ รายการวิทยุ Mosebacke Monarki ในช่วงปี 1960, ซีรีส์คอเมดี้ Norsemen ในปี 2016 และ Midsommar ในปี 2019

 

 

 

 

Midsommar เทศกาลสยอง เป็นภาพยนตร์ที่จะพาเราไปทำความรู้จักกับตำนานและความเชื่อพื้นบ้านของชาวสวีดิชที่อยู่อีกมุมโลกหนึ่ง นำเสนอผ่านสื่อกระแสหลักได้อย่างมีเอกลักษณ์ นอกเหนือจากพิธีกรรมที่ปรากฏอย่างชัดเจนที่เราได้เอามาเล่าให้ฟัง ในภาพยนตร์ยังหยิบองค์ประกอบจากสังคมสวีดิชยุคก่อนการเข้ามาของศาสนาคริสต์มาใช้ได้อย่างลื่นไหล เช่น รูปวาดต่างๆ ที่ใช้บอกใบ้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น,

 

 

การทำยาเสน่ห์, การมีความสัมพันธ์ในเครือญาติใกล้ชิด (Incest), เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย, สถาปัตยกรรม และอักษรรูน ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์ของภาพยนตร์ที่จะทำให้ผู้ชมได้เก็บรายละเอียดและมองหาคำบอกใบ้และสัญญะต่างๆ ทำให้ภาพยนตร์มีการเล่าเรื่องที่มีมิติมากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

ใครที่เป็นคอภาพยนตร์สยองขวัญที่ต้องใช้การตีความเพื่ออ่านเรื่องราวในอีกระนาบหนึ่ง Midsommar เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาด เพราะอรรถรสของประสบการณ์หลอนในฤดูร้อนนี้จะตราตรึงคุณไปอีกนาน

 

เป็นหนังฟอร์มเล็กที่กระแสไม่เล็กตามเลยนะครับสำหรับเรื่องนี้ ผมสนใจตั้งแต่บอกว่าเป็นผลงานชิ้นใหม่ของผู้กำกับ Ari Aster จาก Hereditary แล้ว เพราะเรื่อง Hereditary นั้นทำได้ดีมากจนกลายเป็นหนังสยองที่กระแสดีสุดๆ เมื่อปีที่แล้ว มาถึงเรื่องนี้ ตัวอย่างหนังไม่ค่อยได้บอกอะไรเท่าไหร่ เพราะคงไม่อยากเฉลยข้อมูลอะไรมากมาย แต่ถ้าเข้าไปดูจะออกมาแบบอึนเหมือนโดนสะกดจิตเลยทีเดียว

 

 

เรื่องเล่าถึง ดานี่ และ คริสเตียน คู่รักที่เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน เทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง1ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไป

 

 

ช่วงแรกหนังอาจจะเดินเรื่องเนิบๆ ตามสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ที่จากเรื่องก่อนหน้าก็มาสไตล์เดียวกัน เหมือนแกจะชอบเดินเรื่องเรียบๆ เหมือนสะกดจิตคนดู แล้วมาตบหน้าคนดูฉาดใหญ่ให้ตื่นจากภวังค์ด้วยฉากสุดแหวะ แล้วก็สะกดจิตที่แตกกระเจิงด้วยเรื่องราวที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตอนจบ ซึ่งการเดินเรื่องของ Hereditary กับ Midsommar ก็มีความคล้ายคลึงกัน

 

 

ตามข้อมูลที่ผมหามา เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นเหมือนวันขอบคุณเทพแห่งแสงที่ทำให้พืชพรรณสัตว์เลี้ยงได้เจริญงอกงาม แต่คงไม่ได้มีอะไรสยองขวัญเหมือนในหนัง เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้จะทำลายทฤษฎีหนังสยองขวัญที่ว่าต้องมีฉากมืดทึมตลอดเวลาไปเป็นหนังสยองขวัญที่สว่างจ้าตลอดทั้งเรื่อง

 

 

สิ่งที่เราจะได้เจอจากหนังคือ ฉากสยองที่เห็นภาพแบบชัดเจนแบบที่คนดูต้องเหวอกันทั้งโรง ฉากสยองฉากแรกที่หนังเปิดออกมา ทำให้คนดูเงียบกริบทั้งโรง มีแค่เสียง ซี๊ดปากเบาๆ เหมือนกำลังช็อคกับภาพที่เห็นแต่เบือนหน้าหนีไม่ทัน แล้วหนังก็อัดฉากนี้ต่อเนื่องสองสามดอกติดๆ กัน อูยยยยยยยย

รีวิว Midsommar

ข้อดีและข้อเสียของหนังเรื่องนี้ ผมมองว่ามันคือสิ่งเดียวกันที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อออกมาให้คนดูได้อิน คือเรื่องของงานภาพที่มีสีสันสวยงาม และบรรยากาศที่แปลกประหลาดชวนขนลุกตั้งแต่ได้เห็น คือมีงานภาพที่สวยมาก เรียกว่าสวยน่าประทับใจสุดๆ เหมือนเราหลุดไปอยู่อีกโลกที่มีความสวยงามคลาสสิค

 

 

 

มีความพาสเทลและจัดจ้านในเวลาเดียวกัน แต่ก็มีความแปลกจนน่าขนลุก ด้วยความที่หนังพยายามใส่อารมณ์ตรงนี้เข้าไปเพื่อให้คนดูซึมซับให้ได้มากที่สุด มันก็เป็นดาบสองคมของหนัง คือสวยจริง อินจริง แต่มันก็ทำให้หนังยาวขึ้น อืดขึ้นจนช่วงแรกดูน่านอนพักสักงีบ

 

 

 

และที่ต้องชมที่สุดต้องหนีไม่พ้นผู้กำกับ Ari Aster ที่เป็นทั้งผู้กำกับและคนเขียนบทที่ทั้งเขียนบทและกำกับหนังออกมาได้น่ากลัวและแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร มันเป็นหนังที่ดูแล้วเราจะหวาดระแวงตลอดเวลาตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง ถึงแม้ว่าช่วงกลางๆ เรื่องคนดูจะเริ่มเดาออกแล้วว่าจะเป็นยังไงในตอนท้าย

 

 

 

แต่ก็ยังนั่งดูด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา รวมไปถึงฉากที่หนังบอกเล่าพฤติกรรมแปลกๆ ของวัฒนธรรมประหลาดในหนัง ที่ผู้กำกับเรียกว่ามันคือหนัง Folk Horror คนดูส่วนใหญ่จะขำกับสิ่งที่ตัวละครทำ แต่ผมว่าในความขำของทุกคน มีความหลอนและน่าขนลุกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูกซ่อนอยู่แน่ๆ

 

 

 

 

หนังเรื่องนี้ ไม่ได้มีเอฟเฟ็คทำให้คนดูตกใจอะไรมากมาย ไม่ได้มีฉากหลอนๆ สยองขวัญเยอะเหมือนหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป แต่อย่างที่บอกว่า บรรยากาศที่หนังปูมาทั้งเรื่อง มันเหมือนเป็นการสะกดจิตคนดูให้จิตจดจ่อไปกับหนังจนตกอยู่ในภวังค์ แล้วตบหน้าฉาดใหญ่แรงๆ เรียกสติให้กลับมาด้วยฉากสุดสยอง

 

 

 

แล้วจากนั้นก็พาคนดูนั่งหวาดระแวงหลอนประสาทไปตามเส้นทางที่หนังวางไว้ ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าฉากสยองขวัญจะไม่ได้มีเยอะจนสาแก่ใจก็ตาม แต่ก็ถือว่าทำได้ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

แดนี่ หญิงสาวที่อยู่ในภาวะโศกเศร้าเผชิญกับการสูญเสียคนในครอบครัว เธอจึงต้องการที่พึ่งทางจิตใจจาก คริสเตียน แฟนหนุ่มของเธอที่กำลังจะหาหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ ทั้งคู่ได้เดินทางไปประเทศสวีเดนกับเหล่าเพื่อนๆ เพื่อชมเทศกาลวันฉลองกลางฤดูร้อนตามคำเชิญชวนของ เพลเล เพื่อนมหาลัยของเขา แต่เมื่อเดินทางไปถึงก็ต้องพบเจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดและชวนสยองขวัญที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล

รีวิว Midsommar ความรู้สึกหลังดู

รีวิว Midsommar

นำเสนอได้น่าสนใจมากๆ กับบรรยากาศที่เป็นฉากกลางวันเกือบทั้งเรื่องซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งในหนังประเภทนี้ว่ามันจะทำให้คนดูกลัวได้ยังไงซึ่งเรื่องนี้มันทำได้ครับ. แม้ไม่มีผีแต่มันนำเสนอความหลอนออกมาผ่านประเพณี พฤติกรรมมนุษย์ ภายใต้ความสดใส สีสันสวยงามราวกับทุ่งลาเวนเดอร์ที่ซ่อนความประหลาด ขนลุก จนทำให้ผมอึดอัด ไม่ไว้ใจสภาพแวดล้อม ชวนประสาทเสีย รีวิวหนังภาคต่อ

 

 

 

แต่สำหรับใครที่หวังอยากให้หลอนหนักๆ ต้องการฉากสะดุ้งเรื่องนี้ไม่มีครับ มันไม่ใช่หนังสนุกแต่มันจะเล่าเรื่อยๆ และช้าๆ ค่อยๆ ให้เราซึมซับเรื่องราวทีละนิดเปรียบเหมือนพาเราไปทัศนศึกษาเรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรมตามกลุ่มตัวละครหลักเรียกได้ว่าทีมเขียนบทเหมือนจับเราเข้าไปอยู่ในสถานที่จริงๆ

 

 

 

ฉากแหวะมีไม่เยอะมากแต่ออกมาทีไรทรมานตามันทั้งซูม ทั้งแช่ภาพ เห็นชัดๆ กลางพื้นที่กลางจ้าง สิ่งที่ชอบจริงๆก็คงด้านงานออกแบบในเรื่อง ไม่ว่าจะภาพวาดตามผนังที่แอบบอกใบ้เรื่องราว สิ่งก่อสร้างต่างๆ โทนภาพสีพาสเทล รวมไปถึงมุมกล้องชวนแปลกตา ตำแหน่งการจัดวางตัวละคร ที่กล่าวมาทั้งหมดทำออกมาได้ดีมากๆ ใครอยากเสพงานศิลป์

 

 

 

เน้นๆ คุ้มค่าเวลาครับ

ทางด้านของนักแสดงในจุดนี้ผมอยากจะขอชื่นชมเหล่าตัวประกอบภายในเรื่องที่เข้าถึงบทบาทจนผมคิดว่าพวกเขามีตัวตนจริงๆ และทำแบบนี้จริง ๆ มันดูเรียล ส่วนของนักแสดงหลักก็แสดงได้ดีครับในการเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *