รีวิว the boy in the striped pyjamas
เด็กชายในชุดนอนลายทาง ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ว่าจะถูกสร้างมาแล้วต่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะถูกข้างผ่านมุมมองใดก็ตาม มันก็ยังสร้างความสะเทือนใจให้กับคนดูอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้สะเทือนใจมากยิ่งกว่าก็คือ การนำเสนอความเลวร้ายของสงครามผ่านมุมมองของเด็ก ซึ่งเด็กนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงฆ่ากัน ไม่ว่าสายตาของเด็กนั้นจะบริสุทธิ์มากเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจทำให้บาดแผล ความเจ็บช้ำที่เกิดจากสงครามลบเลือนหายไปได้เลย และเด็กชายในชุดนอนลายทางมันก็ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับคนอยู่เกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์
รีวิว the boy in the striped pyjamas เรื่องย่อ
บรูโน เด็กชายอายุราว 9 ขวบ ต้องย้ายจากบ้านในกรุงเบอร์ลิน ไปอยู่บ้านใหม่ที่ห่างไกลจากตัวเมือง ใครต่อใครเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “เอาท์วิธ” บ้านหลังเล็กที่มีแต่ความเงียบเหงาทำให้เขาคิดถึงโรงเรียน เพื่อนสนิททั้งสามคน และบ้านที่จากมา แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ ด้วยเหตุผลสำคัญของครอบครัวที่อธิบายว่าจำเป็นต้องย้ายมาตามงานของพ่อ ซึ่งเป็นนายทหารใหญ่ของกองทัพรีวิวหนังใหม่
ไม่นานนัก เขาก็ได้ค้นพบจากหน้าต่างห้องนอนในบ้านใหม่ว่าที่จริงแล้วบ้านของเขาไม่อาจเรียกว่าเงียบเหงาได้เสียทีเดียว เพราะเมื่อมองพ้นสวนดอกไม้ในบริเวณบ้านไปถึงรั้วหนามสูงใหญ่ที่ทอดยาวไปไกลเกินกว่าจะมองเห็นที่สิ้นสุดก็พบว่าเขามีเพื่อนบ้านนับร้อยคน ทั้งเด็ก คนหนุ่ม และคนแก่ ต่างยืนรวมกันเป็นกลุ่มๆ คนบางกลุ่มถูกล่ามโซ่เอาไว้ บางกลุ่มเข็นรถเข็นแล้วหายลับไปในกระท่อม บางกลุ่มแบกพลั่วโดยมีทหารเดินนำ กลุ่มคนทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชายที่โกนผมออกจนหมด และสวมเสื้อผ้าเหมือนกัน คือชุดนอนและหมวกลายทางสีเทา
วันหนึ่งบรูโนออกเดินสำรวจไปตามริมรั้วหนามกระทั่งได้เจอกับ ชมูเอล เด็กชายในชุดนอนลายทางที่นั่งอยู่อีกฟากของรั้ว หลังจากนั้นกิจวัตรของบรูโนก็คือการไปนั่งคุยกับชมูเอลพร้อมกับหยิบเอาขนมและอาหารไปให้ แล้วมิตรภาพของทั้งคู่ก็งอกเงยผ่านรั้วหนามจนกระทั่งเกือบปีผ่านไป ในที่สุดพ่อของบรูโนก็ตกลงให้ย้ายลูกๆ กลับไปเบอร์ลิน
บรูโนได้บอกเรื่องนี้กับชมูเอลล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนที่จะย้ายออก ขณะเดียวกันเขาก็พบว่าชมูเอลกำลังเศร้าเสียใจเรื่องการหายตัวไปของพ่อ ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยปรึกษากันก็เริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ที่บรูโนจะข้ามไปสำรวจอีกฝั่งของรั้ว โดยให้ชมูเอลหยิบชุดนอนลายทางที่เก็บอยู่ในกระท่อมมาให้เขาเปลี่ยน ซึ่งเวลานั้นก็เป็นช่วงจังหวะพอดีกับที่เขาเพิ่งถูกโกนหัวเพราะติดเหา ทำให้การได้ผจญจัยร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตามหาพ่อของชมูเอลกลายเป็นสัญญาที่ทำได้จริงในวันถัดมา
บรูโนที่เปลี่ยนเสื้อผ้ามุดตัวลอดผ่านรั้วเข้าไปกับชมูเอล ไม่นานนักเสียงนกหวีดจากทหารดังขึ้นให้พวกเขาเดินแถวเพื่อเข้าห้องขนาดยาวที่แม้แต่อากาศก็ดูจะลอดผ่านเข้ามาไม่ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิทไป
หนังนำเสนอการมองความโหดร้ายทารุนของนาซีที่กระทำต่อชาวยิวผ่านสายตาของเด็กวัย 12 ขวบ ซึ่งเด็กไม่ได้มีความคิดถึงเชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์ที่สูงส่งกว่าอะไรเลย เด็กก็คือเด็ก มีแต่ความบริสุทธิ์ รู้สึกทุกอย่างตรง ๆ มตามที่มองเห็นเท่านั้น
บรูโนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า ชาติพันธุ์ยิว กับชาติพันธุ์ของชาวเยอรมันต่างกันอย่างไร ไม่รู้ว่าทำไมคนกลุ่มหนึ่งถึงต้องใส่ ” ชุดนอนลายทาง ” ไม่เข้าใจถึงหน้าที่ของพ่อที่เป็นทหารนาซี ที่พ่อมักพูดกับเขาว่าสิ่งที่พ่อทำอยู่นั้นคือ “ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น” เขารู้แต่เพียงว่าเขาถูกสั่งไม่ให้คบกับชาวยิว เพนาะพ่อพูดกรอกหูเขาบ่อย ๆ ว่า “พวกนั้นไม่มีความเป็นคนด้วยซ้ำไป” หรือการที่ครูสอนเขาว่า ” ยิวคือสิ่งเลวร้าย…ถ้าหากใครสักพบคนยิวที่ดี ก็จะกลายเป็นนักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ ”
ความรู้สึกหลังดู
หนังแสดงถึงความสัมพันธ์ถึงบุคคลสองระดับ คือตัวบรูโน่กับซามูเอลเพื่อนชาวยิว คือความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับเด็ก และบรูโน่กับคนรับใช้ชาวยิว คือความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ และเมื่อนำความสัมพันธ์ทั้ง 2 แบบนั้นมาเปรียบเทียบกัน สิ่งที่บรูโน่รับรู้ได้ก็คือ มันก็ไม่มีความแตกต่างกันเลย ประคบทั้ง 2 ระดับก็มีความเป็นมนุษย์ที่ดีเหมือนกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับเด็ก จะแสดงถึงการมองทุกอย่างรอบข้างด้วยความรู้สึกใสซื่อแบบเด็ก ๆ แม้เหตุการณ์จะเลวร้ายหรือโหดร้ายเพียงใด เด็กก็จะมีมุมมองที่มีความสนุกสนานเสมอ
ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่บรูโน่กับคนรับใช้ชาวยิว แม้บรูโนจะเห็นว่าเขามีสีหน้าแววตาแห่งความสิ้นหวัง หวาดกลัว รวมถึงร่างกายที่สั่นเทา เป็นการแสดงถึงความหวาดกลัวที่ชาวยิวมีต่อนาซี แต่บลูโน่กับไม่สามารถรับรู้ความหมายเหล่านั้น ว่ากลัวทำไม ทำไมต้องกลัว
หนังแสดงสัญลักษณ์ไว้มาก เช่นตุ๊กตาจำนวนมากในห้องใต้ดิน การบาดเจ็บขาของบรูโน่จากการตกชิงช้า ชิงช้าของบรูโน่ บรูโน่นั่งคุยกับเด็กชาวยิวโดยมีรั้วลวดหนามกั้น
อย่างไรก็ตาม หนังสามารถเล่าเรื่องออกมาได้อย่างสวยงาม ตามสายตาของเด็กนั่นเอง ตามมโนทัศน์ที่ว่า เด็กคือตัวแทนของความบริสุทธ์ แต่ก็ต้องมาดังเพราะจากการกระทำของผู้ใหญ่
นักแสดงเด็กในเรื่องที่รับบทเป็น บรูโนและซามูเอล ต่างก็เล่นดีทั้งคู่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและอารมณ์ของหนังผ่านสีหน้าแววตาและการแสดงได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้คนดูสามารถรับรู้ความรู้สึก และความเจ็บปวดของหนัง ได้ไม่แพ้ผู้ใหญ่เลยทีเดียว
the boy in the striped pyjamas เด็กชายในชุดนอนลายทาง เป็นหนังที่ต้องการแสดงให้เห็นความโหดร้าย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เกิดขึ้นกับชาวยิว ที่เกิดจากการกระทำ ของพวกนาซี แม้หนังจะไม่แสดง ความโหดร้ายใด ๆ เลยให้เห็นก็ตาม เพราะหนังต้องการจะนำเสนอภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านสายตาของเด็กชายอายุ 12 ขวบ ดังนั้นภาพเหตุการณ์ความเลวร้ายจึงเป็นไปตามสายตาของเด็ก ที่เด็กมันคิดว่าไม่มีอะไร เป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากใครมีประสบการณ์หรือ มีความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงนี้ ก็จะเข้าใจและรับรู้ถึงความโหดร้ายนั้นได้ไม่ยาก หนังต้องการจะนำเสนอ หรือ ตั้งคำถามกับพวกเราว่า แท้จริงแล้วความแตกต่าง ของชาติที่พันธุ์นั้น วัดกันจากจุดใดกันแน่ ถ้าเปรียบความแตกต่างของชาติพันธุ์ เป็นเหมือนเสื้อผ้าแล้ว ถ้าเราเปลี่ยนเสื้อผ้าเราจะแยก ความแตกต่างทางชาติพันธ์ออกได้อย่างไร
the boy in the striped pyjamas สำหรับผมแล้ว แม้จะมีความสวยงามทางด้านมิตรภาพต่างชาติพันธุ์ แต่ก็เป็นหนึ่งในหนัง ที่ทำร้ายจิตใจ คนดูได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ยิ่งถ้าคนดูมีพื้นความรู้ทางประวัติศาสตร์ด้วยแล้วจะยิ่งทรมานจิตใจหลายเท่า เป็นหนังที่ใช้สัญลักษณ์ด้านภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ส่งผลทางด้านจิตใจโดยตรง เป็นหนึ่งในหนังที่ผมชอบที่สุด แต่ไม่อยากดูซ้ำเลย มันหดหู่เกินไป
ความยอดเยี่ยมที่หลายคนพูดถึง คือการบอกเล่าเรื่องราวพร้อมความกดดันโดยใช้บทพูด สถานที่ รวมถึงเวลาได้อย่างเหมาะเจาะ อีกทั้งการหักมุมโดยใช้ความเป็นเด็ก วิธีสร้างช่วงเวลาแสนหดหู่ก็ทำได้อย่างน่าชื่นชม มันแสดงให้เห็นถึง ความโหดร้ายของสงครามที่ไม่ใช่การรบราฆ่าฟัน แต่หมายถึงการลิดรอนสิทธิชาติพันธุ์อื่น การโฆษณาชวนเชื่อ และแน่นอนว่าการปิดบังความจริงต่อสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในครอบครัว ความเลวร้ายทุกอย่างค่อยๆ ทวีคูณ และเผยให้เห็นธาตุแท้ของความโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เคยคิดว่ามันสวยงาม อาจกำลังรู้คำตอบ และไม่มีโอกาสรอดชีวิตออกมาทำความเข้าใจโลกใหม่เหมือนกับบรูโน่ (ตัวละครเอก)
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต่างจากการบิดเบือนความจริงเพื่อสร้างเรื่องราวที่บีบคั้นอารมณ์คือเรื่องการนำเสนอเรื่องราวด้วยวิธี “Romanticize” และหยิบเอาเรื่องราวของค่ายกักกันมาเป็นเรื่องเศร้าของครอบครัวนาซี เหมือนกับหยิบเอาเรื่องความโหดร้ายในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงมาบิดเบือนเพื่อทำให้สอดคล้องกับมุมมองของเด็กน้อยชาวอารยันที่อยู่ในครอบครัวผู้ขูดรีดและกระทำโหดร้ายกับชาวยิว และเมื่อมันเป็นภาพยนตร์สุดโด่งดังมันยิ่งมีอิทธิพลในวงกว้าง ดังนั้นมันจึงเป็นสื่อที่เผยแพร่ความเห็นอกเห็นใจต่อครอบครัวผู้กระทำผิดมากกว่าเหยื่อเสียอีก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ภาพยนตร์ดังกล่าวจึงได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ในระดับกลางๆ เท่านั้น แม้มันจะเล่าเรื่องได้อย่างเฉียบคมก็ตาม
สรุป
เรื่องการแสดงน่าขนลุก สิ่งที่ทำให้มันน่าขนลุกเป็นเพราะนักแสดงเหล่านั้นเป็นนักแสดงเด็ก แต่กลับแสดง ถ่ายทอดออกมาได้ดีกันมากๆ ยิ่งตัวแม่กับพี่สาวนี่คือดี หรืออย่างตัวพ่อที่เราจำภาพใจดีๆมาจากแฮรี่ พอตเตอร์ก็ลบทิ้งไม่ได้หมดเลย เรื่องนี้น่ากลัวน่าขนลุกมากๆ อีกคนนึงก็ทหารนั่นแหละที่หน้าตาน้ำเสียงน่าเกรงขามมาก คือน่ากลัวสุดๆ เหมือนเราไปยืยประจันหน้ากับเขาจริงๆเลย
ภาพสวยดี อยู่ในระดับที่เออ ดูเรื่อยๆสบายตา องค์ประกอบในเรื่องก็ดีนะ ต่อมาที่บท เรารู้สึกว่ามันยังบีบได้มากกว่ายี้ มันยังบิวด์ได้มากกว่านี้ แต่ถ้าหนังยาวกว่านี้อาจจะน่าเบื่อ เท่านี้ก็ทำได้ดีแล้ว แต่ช่วงท้ายเราว่าทำฉากทำอะไรให้บีบอารมณ์ได้มากกว่านี้เยอะอ่ะ แต่มันก็อาจจะแรลไป แบบคนดูใจสลายกันรัว
สุดท้ายต้องทำความเข้าใจว่า The Boy in the Striped Pyjamas ไม่ใช่สารคดี ดังนั้นมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเล่าเรื่องคล้ายนิยายภาพเคลื่อนไหวมากกว่า การตัดสินด้วยหลักเหตุผลความเป็นจริงเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เข้ากับเป้าหมายของการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และอย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นว่าในสถานการณ์โหดร้ายดังกล่าวอาจมีผู้คนหลายกลุ่มกำลังเผชิญกับภาระทางจิตใจที่แตกต่างกันไป หรือแม้แต่ความว้าเหว่ของเด็กชายคนหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม ทว่าในทางกลับกันก็ต้องคำนึงถึงเรื่องการผลิตสื่อด้วย เพราะเรื่องราวในภาพยนตร์จะเป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่การสร้างให้มีความสมจริง ใช้เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มาเล่านั้นอาจส่งผลกระทบด้านการเรียนรู้ในวงกว้าง เพราะฉะนั้นหากถามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยอดเยี่ยมหรือไม่ก็คงตอบได้อย่างชัดเจนว่า The Boy in the Striped Pyjamas เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นสื่อบันเทิงที่หยิบยกเอาเรื่องราวประวัติศาสตร์มาเล่าได้ยอดแย่เช่นกัน หากใครต้องการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีข้อเสนอแนะว่าควรทำความเข้าใจเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นก่อน มิเช่นนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้อาจพาเราท่องไปในโลกแห่งจินตนาการที่หยิบเอาความจริงอันโหดร้ายมาสร้างอารมณ์ความจิตตกให้เราได้เสพกันโดยอาจละเลยความรู้สึกของผู้เป็นเหยื่อในเหตุการณ์นั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าเอาประสบการณ์ชีวิตในขุมนรกมาหากิน แต่ถ้าถามอีกว่าแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้เรายังควรชมอยู่หรือไม่ ตอบเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างน้อยก็ดีเกินกว่าจะพลาดชมสักครั้งในชีวิต อย่างน้อยมันก็อาจทำให้เราอยากจะศึกษาเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ผู้กำกับ: มาร์ก เฮอร์แมน
เรื่องโดย: จอห์น บอยน์
รางวัลที่ได้รับ: บริติช อินดีเพนเดนต์ ฟิล์ม อวอร์ดส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง: บริติช อินดีเพนเดนต์ ฟิล์ม อวอร์ดส์ สาขานักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง